วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555



ชีวประวัติ หลวงพ่อ พระอุปัชฌาย์อิ่ม สิริปุญโญ
อดีตเจ้าอาวาสวัดหัวเขา ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี



หลวงพ่ออิ่ม สิริปุญโญ ท่านเป็นหนึ่งใน๓พระอาจารย์ใหญ่สำนักวิปัสสนากรรมฐานแห่งเมืองสุพรรณ
ในยุคช่วงก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่๒ (รัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่๖-๗) อันประกอบไปด้วย
๑.หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา (พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายเหนือของเมืองสุพรรณ)
๒.หลวงพ่อปลื้ม วัดพร้าว (พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกลางของเมืองสุพรรณ)
๓.หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน (พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายใต้ของเมืองสุพรรณ)
อิทธิฤทธิ์ กิตติคุณ ปาฏิหาริย์ในเวทย์วิทยาคมในนามของ "หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์อิ่ม 
แห่งสำนักวัดหัวเขา"
เป็นที่กล่าวขาน โจษจันกันมาช้านานตั้งแต่ครั้นสมัยท่านยังทรงสังขารอยู่ 
 
แม้จวบจนปัจจุบันท่านจะมรณะภาพไปนานแล้วกว่า๗๐ปีแล้วก็ตาม กิตติศัพท์ ชื่อเสียงในเวทย์วิทยาคมของท่านก็ยังคงอยู่ มิได้สูญหาย อันตธานหายไปจากใจของชาวเมืองสุพรรณตามกาลเวลา
เรื่องราวความดีและสิ่งต่างๆที่ท่านได้ถ่ายทอดและทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ให้แก่อนุชนคนรุ่นหลังอย่างเราๆทั้งหลายได้เคารพสักการะ และเป็นหลักที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจอยู่เสมอ อย่างเช่น วัตถุมงคลที่ท่านได้สร้างขึ้นไว้ , ศาสนสถาน , ถาวรวัตถุต่างๆ ,
หรือจะเป็นบุคคลากร อย่างเช่น พระภิกษุสงฆ์ พระเกจอาจารย์ต่างๆที่เป็นศิษย์ท่าน และบุคคลากรอื่นๆที่มีศักยภาพทางสังคมและหลายต่อหลายอย่างอีกมากมาย ยังคงสถิตย์อยู่คู่โลกของเรามิได้ผ่านพ้นหายไปตามเวลาเลยประวัติของหลวงพ่ออิ่ม ท่านเลือนราง มีไม่มากพอและชัดเจนนัก เนื่องจากว่าในยุคของหลวงพ่อในสมัยก่อนนั้น
ไม่ได้มีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ข้อมูลเรื่องราวของหลวงพ่ออิ่มในปัจจุบันที่ได้ศึกษากันอยู่นั้นจึงเป็นข้อมูลที่ไม่ได้มาจากบทความหรือบันทึกลายลักษณ์อักษรที่มาจากหลวงพ่อ อิ่ม
ผู้เป็นเจ้าของต้นเรื่อง ได้อาศัยเอาจากคำกล่าวคำบอกเล่าของลูกศิษย์ลูกหาที่ทันและทราบในเรื่องราว
ของหลวงพ่อ ซึ่งแน่แท้ว่าคำกล่าวคำบอกเล่าของบุคคลหลายๆคนนั้นย่อมมีความผิดพลาด ขาดตกและบกพร่องเป็นธรรมดา
ก่อนจะกล่าวประวัติหลวงพ่ออิ่มต่อไป ก่อนอื่นขอท้าวความถึงบันทึกประวัติ
วัดไก่เตี้ย อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับประวัติหลวงพ่ออิ่มอย่างมาก ว่า
"วัดไก่เตี้ยได้ถูกทิ้งรกร้างลง กระทั่ง พ.ศ.๒๔๒๘ จึงได้มีหลวงพ่ออิ่ม จากวัดเสาธงทอง

ซึ่งตั้งอยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำสุพรรณ(ท่าจีน)เล็งเห็นความยากลำบากและเสี่ยงอันตราย
ของชาวบ้านย่านวังยางที่ต้องข้ามฟากไปทำบุญถึงวัดเสาธงทองโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในฤดูน้ำหลาก กระแสน้ำเชี่ยวกลาดน่ากลัวอันตรายอย่างยิ่ง หลวงพ่ออิ่มจึงได้ชักชวนชาวบ้านย่านวังยาง ช่วยกันฟื้นฟูวัดไก่เตี้ยจากวัดร้างให้คืนสภาพเป็นที่ควรอยู่อาศัยขึ้นมา ใหม่
จวบจนต่อมาก็ได้นิมนต์หลวงพ่อแสน สุวณฺโณ (จากวัดใดไม่ปรากฎ) ให้มาอยู่ประจำขึ้นเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา ส่วนตัวหลวงพ่ออิ่มท่านเองต่อมาได้ย้ายไปอยู่ที่วัดหัวเขา นับได้ว่าวัดไก่เตี้ยได้กลับคืนสภาพเป็นวัดมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาต่อเนื่อง สืบสภาพมานับแต่กาลนั้นจนถึงปัจจุบัน


ชาติภูมิ


พระอุปัชฌาย์อิ่ม สิริปุญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดหัวเขา ท่านมีนามเดิมว่า อิ่ม ไม่มีนามสุกล
(ยุคสมัยก่อนนั้นยังไม่มีนามสกุลใช้กัน)
ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ ปีจอ เดือน ๗ ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ตรงกับวันที่ ๑ เดือนมิถุนายน ปีพุทธศักราช ๒๔๐๖
ส่วนภูมิลำเนานั้นไม่ปรากฏ แต่มีความเป็นไปได้สันนิษฐานว่า)มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าท่านน่าจะเป็นชาว อ.ศรีประจันต์
เนื่องจากว่าท่านได้บวชเรียนอยู่วัดเสาธงทอง อ.ศรีประจันต์ ทั้งยังได้ฟื้นฟูวัดไก่เตี้ย อ.ศรีประจันต์
และในเขต อ.ศรีประจันต์นั้นก็ยังปรากฏพระเกจิอาจารย์ซึ่งได้ตามไปเป็นลูกศิษย์หลวงพ่ออิ่มอยู่หลายท่าน และยังมีสหธรรมิก(ศิษย์ร่วมสำนัก)หลวงพ่ออิ่มอยู่ในเขตพื้นที่ศรีประจันต์นี้อีกด้วย


อุปสมบท

เมื่ออายุครบเกณฑ์วัยอุปสมบทได้แล้ว ท่านจึงอุปสมบทตามประเพณีไทย เมื่อประมาณ ปีพุทธศักราช ๒๔๒๖-๒๔๒๘
(อันอยู่ในช่วงระหว่างนี้ ไม่เกินปี พุทธศักราช๒๕๒๘อย่างแน่นอน เพราะเป็นปีที่ตามประวัติวัดไก่เตี้ย
ได้บันทึกไว้ว่าหลวงพ่ออิ่มสมัยนั้นจำพรรษาอยู่วัดเสาธงทองพร้อมด้วยญาติโยมได้เริ่มฟื้นฟูวัดไก่เตี้ยขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.๒๔๒๘)

ส่วนพัทธสีมาที่ทำการอุปสมบทและพระอุปัชฌาย์นั้นไม่ทราบ แต่ข้อสันนิษฐานซึ่งมีความเป็นไปได้สูง สันนิษฐาน ซึ่งใช้หลักแห่งความสมเหตุสมผลว่า...

หลังจากท่านอุปสมบทแล้วท่านคงจำพรรษาแรก ณ.วัดเสาธงทอง (ท่านอุปสมบทอยู่ในช่วงประมาณพ.ศ.๒๔๒๖

ถึงก่อนพ.ศ.๒๔๒๘อันเป็นปีที่ท่านได้ย้ายจากวัดเสาธงทองซึ่งจำพรรษาอยู่แต่เดิม เพื่อไปฟื้นฟูวัดไก่เตี้ย)

และหากเป็นดังข้อสันนิษฐานแล้วนั้นท่านจำต้องเข้ารับการอุปสมบทจากพัทธสีมาวัดพร้าวเป็นแน่

เนื่องจากว่าในยุคนั้นวัดเสาธงทองยังไม่มีพระอุโบสถ กุลบุตรทั้งหลายในละแวกนี้หากจะเข้ารับการอุปสมบท
จำเป็นจะต้องไปใช้พัทธสีมาวัดพร้าว ซึ่งอยู่ทางใต้แม่น้ำท่าจีนลงไปจากวัดเสาธงทง เพราะว่าที่วัดพร้าวนี้มีอุโบสถและพระอุปัชฌาย์
ซึ่งนั่นก็คือ หลวงพ่อแก้ว และหากหลวงพ่ออิ่ม อุปสมบท ณ.วัดพร้าวแล้ว อุปัชฌาย์ของท่านก็ย่อมคือ หลวงพ่อแก้ว วัดพร้าว นั้นเอง

"หลวงพ่ออิ่ม เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดหัวเขา"
หลังจากหลวงพ่ออิ่มร่วมกับชาวบ้านฟื้นฟู พัฒนาวัดไก่เตี้ยขึ้นมาใหม่และได้นิมนต์หลวงพ่อแสนมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไก่เตี้ยแล้ว

ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆจวบจนเวลาต่อมาจึงได้ไปปักกลดปฏิบัติธุดงค์วัตรอยู่บริเวณวัดหัวเขาในปัจจุบัน
ซึ่งแต่เดิมในยุคนั้นยังคงเป็นป่ารกทึบ จากคำบอกเล่าของญาติโยมที่เป็นคนเก่าแก่เล่าว่าหลวงพ่ออิ่มท่านได้เป็นที่เคารพและศรัทธาของชาวบ้านละแวกนั้นเป็นอันมาก จึงพร้อมด้วยชาวบ้านสร้างวัดหัวเขากันขึ้นมา และชาวบ้านได้นิมนต์ท่านจำพรรษาอยู่เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดหัวเขา


แม้ว่าประวัติของหลวงพ่ออิ่มค่อนข้างเลือนราง แต่ก็มีเกร็ดเรื่องราวของท่านบางตอนน่าสนใจเกี่ยวกับท่านว่า
๑ .หลักฐานจากหนังสือพระราชทานเพลิงศพพระครูวรนาถรังษี หลวงพ่อปุย วัดเกาะ กล่าวว่า พ.ศ.๒๔๖๓
หลวงพ่อปุยได้เดินทางมาฝากตนเป็นศิษย์หลวงพ่ออิ่ม และอาจารย์มนัส โอภากุล เขียนไว้ว่า
หลวงพ่ออิ่มกล่าวยกย่องหลวงพ่อปุยว่า เปรียบเสมือนบัวที่พ้นน้ำแล้ว สอนอะไรก็เข้าใจง่าย ศึกษาได้รวดเร็ว
ไม่ต้องจ้ำจี้จำไชเท่าไรนัก หลวงพ่อปุยเองก็เคยเล่าให้ศิษย์ฟังเสมอๆว่า หลวงพ่ออิ่มท่านเป็นพระที่เคร่งในพระธรรมวินัยมาก ญาณสมาบัติสูงมาก
๒. มีคำกล่าวว่าในการอุปสมบทครั้งแรกของหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรีนั้น
หลวงพ่ออิ่ม ท่านเป็นพระคู่สวดให้ (หลวงพ่อมุ่ย บวชครั้งแรกประมาณ พ.ศ.๒๔๕๑) แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนชัดเจนว่าจริงหรือเปล่า

๓. ในการอุปสมบทครั้งที่สองของหลวงพ่อมุ่ย หลวงพ่อมุ่ยท่านก็ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออิ่ม

จากหนังสืองานทำบุญอายุครบ๘๐ปีหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ที่ทางวัดดอนไร่จัดพิมพ์แจกออกมาในปีพ.ศ.๒๕๑๒
กล่าวถึงประวัติหลวงพ่อมุ่ยซึ่งเกี่ยวข้องเชื่อมโยงถึงหลวงพ่ออิ่มว่า หลวงพ่อมุ่ยอุปสมบทครั้งที่๒ใน ปีพ.ศ.๒๔๗๒
หลังจากอุปสมบทแล้วไปจำวัดยู่วัดหนองสะเดาประมาณ๖เดือน แล้วจึงมาอยู่วัดดอนไร่อีก๖พรรษาเศษ
แล้วจึงย้ายไปจำพรรษาอยู่วัดหัวเขาในสำนักของหลวงพ่ออิ่ม ซึ่งคำนวณแล้วตรงกับประมาณ พ.ศ.๒๔๗๘ เป็นระยะเวลา๑พรรษา เพื่อเรียนวิชาอาคมจากหลวงพ่ออิ่ม
๔. มีคำกล่าวจากสื่อต่างๆในวงการพระเครื่องว่าหลวงพ่ออิ่มเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข ว่า เมื่อหลวงพ่อมุ่ย
ได้ศึกษาวิชาจนแตกฉานแล้วจากหลวงพ่ออิ่ม หลวงพ่ออิ่มได้เมตตาพาหลวงพ่มุ่ยไปศึกษาวิชาเพิ่มเติมจากหลวงปู่ศุข
วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท ซึ่งชอบคอกันกับหลวงพ่ออิ่มท่าน ได้มีคำกล่าวขานจากชาวบ้านซึ่งอ้างว่าเคยถามกับหลวงพ่ออิ่ม
หลังจากที่เดินทางพาหลวงพ่อมุ่ยมุ่งหน้าไปหาหลวงปู่ศุขหลายเดือนก่อนจะกลับมาว่า หลวงพ่ออิ่มได้อะไรกลับมาบ้าง
หลวงพ่ออิ่มท่านตอบว่า ท่านแก่แล้วจึงได้มาเพียงครึ่งเล่ม แต่หลวงพ่อมุ่ยท่านหนุ่มกว่าจึงได้มาถึงเล่มครึ่ง
แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนชัดเจนว่าจริงแท้แน่นอนเป็นเช่นไร่ เพราะหากดูจากช่วงเวลาในปีที่หลวงพ่อมุ่ยมาเรียนวิชา
จากหลวงพ่ออิ่มนั้นอยู่ในช่วงปีพ.ศ.๒๔๗๘นั้น หลวงปู่ศุขท่านมรณภาพไปนานแล้วถึง๑๒ปี(หลวงปู่ศุขมรณะพ.ศ.๒๔๖๖)


ครูบาอาจารย์และสหธรรมิก
หลวงพ่ออิ่มท่านถือธุดงค์เป็นวัตรและพบครูบาอาจารย์ดีก็ศึกษาหาความรู้ไปเรื่อย
ทั้งตำหรับตำราวิชาก็มากมี อันที่จริงหลวงพ่ออิ่มท่านเก่งได้ด้วยตัวท่านเอง
เรื่องของครูบาอาจารย์ท่านนั้นไม่สามารถสืบค้นกันได้ชัดเจน แต่หากเอาจากข้อสันนิษฐานกัน ก็คือ
๑.หลวงพ่อแก้ว วัดพร้าว จ.สุพรรณบุรี (สันนิษฐาน)
ท่านเป็นพระอาจารย์ที่ขึ้นชื่อลือชาในพระเวทย์วิทยาคม แห่งสำนักตักศิลาวิทยาคมวัดพร้าว
บ้านโพธิ์เจ้าพระยา เมืองสุพรรณบุรีมาก ท่านอาวุโสกว่าหลวงพ่อเนียม วัดน้อย
หลวงพ่อแก้วเป็นพระอุปัชฌาย์ที่กำการอุปสมบทให้กุลบุตรนับว่าค่อนจังหวัดได้
เพราะว่าในยุคนั้นเมืองสุพรรณบุรีมีพระอุปัชฌาย์เพียงสองสามรูปเอง
หลวงพ่อแก้วท่านนับได้ว่าเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์ของหลายเกจิเมืองสุพรรณเลยทีเดียว
๒.หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท (ข้อมูลยังไม่สมเหตุสมผล ไม่ชัดเจน)
หลวงปู่ศุขนั้นขึ้นชื่อเรืงเวทย์เป็นที่โจษจันกันอยู่แล้ว
กล่าวกันว่าหลวงพ่ออิ่มท่านเป็นทั้งศิษย์และสหธรรมิกของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าด้วย


มรณภาพ
หลวงพ่ออิ่มปกครอง พัฒนาคนพัฒนาวัดเรื่อยมา จวบจนได้รับแต่งตั้งสมณศักด์สุดท้ายที่
"พระครูปลัดอิ่ม สริปุญโญ" ก่นท่านจะมรณภาพลง ในอิริยาบทท่านั่งสมาธิ
เมื่อประมาณต้นปีพ.ศ.๒๔๘๐ สิริอายุ ๗๔ปี ซึ่งนับว่าเป็นพระเกจิอาจารย์๑ใน๒รูป
ของเมืองสุพรรณที่มรณภาพในท่านั่งสมาธิ ซึ่งอีกท่านนั้นก็คือหลวงพ่อเซ้ง วัดพร้าว
ปัจจุบันวัดหัวเขามีประเพณีการตักบาตรเทโว คราวันออกพรรษาที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองสุพรรณบุรี
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอเดิมบางนางบวช
และที่วัดยังมีมณฑปที่สร้างมาตั้งแต่ครั้นสมัยหลวงพ่ออิ่ม มีรูปเหมือนหลวงพ่ออิ่มให้ประชาชนได้เคารพปิดทองสักการะบูชา




วัตถุมงคล

ด้วยบารมีอันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อ สังเกตุได้จากวัตถุมงคลที่ท่านสร้างออกมา มีมากมายหลายชนิด
ตามความต้องการของผู้เคารพรักและศรัทธาในหลวงพ่อว่ามีมากมายขนาดไหน
ในยุคที่หลวงพ่ออิ่ม ครองวัดหัวเขา มีการสร้างเครื่องรางของขลังโบราณหลายชนิด
เช่น ตะกรุดแบบต่างๆ รวมทั้งผ้ายันต์ เหรียญปั๊ม เหรียญหล่อโบราณ รูปหล่อโบราณ(นางกวัก)
แหวนแบบต่างๆ พระพิมพ์ดินเผา พระผงใบลาน เป็นต้น
อันเป็นวัตถุมงคลของหลวงพ่ออิ่ม เชื่อกันในหมู่ผู้บูชาตั้งแต่สมัยก่อนจวบจนปัจจุบันว่า
ประสบการณ์ยอดเยี่ยม มีคุณวิเศษในด้านบันดาลความมั่งมีศรีสุข เมตตามหานิยม ไปมาค้าขายดีมาก
ส่วนเรื่องอยู่ยงคงกระพันชาตรีนั้นก็เลิศ แบบแมลงวันไม่มีวันได้กินเลือด กล่าวขานกันอย่างนี้มาช้านาน
ตั้งแต่สมัยเหล่าทหารเข้าร่วมรบสงครามโลกครั้งที่๑แล้ว
ในการสร้างพระและวัตถุมงคลต่างๆ หลวงพ่ออิ่มท่านจะบอกบุญไปทางญาติโยม
ในสมัยนั้นไม่มีการเรี่ยไรเงินโดยการกำหนดกฏเกณฑ์ตั้งราคาวัตถุมงคลให้เช่าบูชาทำบุญกันเฉกเช่นปัจจุบัน
แต่ในสมัยนั้นผู้คนจะนำวัสดุพวกโลหะต่างๆมาให้หลวงพ่อทำให้ครับ
กรรมวิธีการสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่ออิ่มนั้นส่วนใหญ่ก็สร้างกันเองทำกันเองภายในวัดครับ
มีอย่างจำพวกเหรียญปั๊มก็ต้องสั่งโรงงานไปครับ นอกนั้นก็จะตั้งใจสร้าง ทำกันเองเป็นพุทธบูชาครับ
การจัดสร้างของลพ.อิ่มท่านจะมีลักษณะเฉพาะคือ เวลาท่านจัดสร้างอะไร
ท่านจะประกาศข่าวออกไปให้ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงทราบ ใครอยากจะร่วมบุญอะไร
อย่างไร ก็นำมาร่วมสร้างได้เช่น เช่น สร้อย กำไล ขันเงิน ฯลฯ แล้วแต่ศรัทธาของเจ้าภาพ
เมื่อถึงเวลาก็จะนำโลหะต่าง ๆ เหล่านั้นนำมาหลอมรวมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน
โดยว่ากันว่าลพ.อิ่มท่านจะใช้กสิณไฟซึ่งท่านจะส่งพลังออกไปจากตัวท่านไปยัง เต้าหลอม
ดังนั้นโลหะแม้ว่าจะต่างชนิดกันก็สามารถหล่อหลอมตัวเข้าหากันได้
ดังนั้นของลพ.อิ่ม จึงเป็นที่ต้องการกันมากโดยเฉพาะบรรดานักเล่นเครื่องรางรุ่นเก่า
เพราะเล่นหาง่ายกว่าและราคาเช่าหาเบาๆครับ
อิทธิวัตถุมงคลของ "หลวงพ่ออิ่ม" วัดหัวเขา จ.สุพรรณบุรี มีแพร่หลายไปในวงกว้าง

พระของท่านคงจะสร้างไว้น้อย ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง คือ พระหล่อโบราณ
ในวงการนักนิยมพระเครื่องรางของขลังถือว่าใครมีวัตถุมงคลหลวงพ่ออิ่ม นับได้ว่าเป็นผู้มีวาสนา
ก็มีอยู่หลายพิมพ์ด้วยกัน ได้แก่ เหรียญหล่อใบเสมา ที่คุ้นหูคุ้นตาอย่างน้อย ๓ แบบ
แตกต่างกันที่รายละเอียด นอกจากนี้ยังมีนางกวัก ๒ พิมพ์ หล่อแบบโบราณ
อีกพิมพ์หนึ่งเป็นพิมพ์พระพุทธรูปหล่อโบราณแบบลอยองค์ก็มี พระปิดตา แบบมหาอุด
หมายถึง ปิดตาและปิดทวาร พิมพ์นางกวัก มีสร้างไว้หลายแบบ พญาเต่าเรือน นอกจากนี้ก็ยังมี
แหวนพิรอด หัวพระปิดตา หัวพระพุทธ มี ๒ แบบ ทั้งหมดสร้างด้วยเนื้อโลหะแบบหล่อโบราณ
เกี่ยวกับเหรียญ และรูปหล่อโลหะ พอมีหลักฐานจากรูปทรงใบเสมาบ่ง
บอกว่าน่าจะสร้างในยุคเร็วที่สุดในสมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงใดช่วงหนึ่ง
เพราะรูปทรงใบเสมานั้นตั้งต้นสร้างรุ่นแรกของประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕
อาจจะเป็นตอนกลางหรือตอนปลายในสมัยของพระองค์ หรือไม่ก็อาจจะเป็นการสร้างในสมัยหลังจากนั้น
ช่วงใดช่วงหนึ่งก่อนหลวงพ่ออิ่มท่านมรณภาพเมื่อปี ๒๔๘๐



พระพิมพ์ดินเผา เป็นวัตถุมงคลที่หลวงพ่อเริ่มสร้างมานานตั้งแต่ครั้นยุคแรกๆเรื่อยมา มีทั้งเนื้อผงคลุกรัก ผงใบลานเผา ดินเผา นิยมเรียกขานกันตามสีตามพิมพ์นั้นๆ ว่าผงดำบ้าง ผงแดงบ้าง ขุนแผนบ้าง เป็นต้น สำหรับพิมพ์ทรงก็มีด้วยกันมากมายหลายพิมพ์ ปัจจุบันพบน้อย ไม่แพร่หลายนัก

 



พระผงดำพระผงดำของหลวงพ่ออิ่มที่เป็นมาตรฐานนั้นมีด้วยกัน๓พิมพ์
คือ ๑.พิมพ์สมาธิ ๒.พิมพ์มารวิชัย ๓. พิมพ์ปิดตา
อายุของเนื้อพระนั้นเก่ามาก เนื้อจะใกล้เคียงและมีอายุพอกับพระผงของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
สมัยก่อนนักเล่นพระยุคเก่านิยมเล่นพระผงดำหลวงพ่ออิ่มเป็นพระของหลวงปู่ศุข แต่ต่อมาพบพยานยืนยันแถวเดิมบางว่าเป็นของหลวงพ่ออิ่มวัดหัวเขาแน่นอนพระผงดำนั้นหลวงพ่อได้ตั้งใจทำเป็นอย่างมาก ท่านได้ทำตะกรุดดอกเล็กๆ เสียบเข้าใต้ฐานแล้วปาดผงปิดไว้ โดยทั่วไปจะมองไม่เห็น แต่ก็มีบางองค์ที่เห็นโผล่ออกมาให้เห็นนิดหน่อย ถ้านำไปเอกซ์เรย์จะเห็นทันทีว่ามีตะกรุดสอดอยู่ภายใน พระผงดำนี้เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีประสบการณ์มาก ทั้งทางเมตตาโชคลาภตามพุทธคุณของพระเนื้อผง แต่ที่เด่นเท่าที่ได้ยินมาว่า คงกระพันชาตรีเป็นเลิศ มีคนเดิมบางเคยเล่าว่า ลองเอาพระผงดำยัดใส่ปากปลาช่อนแล้วใช้มีดสับไม่เข้าครับ เป็นเรื่องที่เล่าต่อกันมาพระผงดำพิมพ์ยอดนิยมทั้ง๓พมพ์นั้นพิมพ์ปิดตาจะหายากที่สุด พิมพ์นิยมสุดก็จะเป็นพิมพ์สมาธิ และรองลงมาคือพิมพ์มารวิชัย ปัจจุบันมีของเก๊ระบาดอีกทั้งของพระเกจิลูกศิษย์รุ่นหลังทำเลียนแบบขึ้นมา การเล่นหาควรศึกษาให้ดีและมีความระมัดระวัง


 เอื้อเฟื้อภาพ ร่มโพธิ์ไทร com.





พระผงลำพูนดำพิมพ์สมาธิ-มารวิชัย
โดย ทศ เดิมบาง 


ขอบพระคุณข้อมูล จากร่มโพธิ์ไทร com.

ในการจัดทำ ประวัติหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา ในครั้งนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ให้ความรู้กับผู้ที่มีความศรัทธาในหลวงพ่ออิ่มแห่งวัดหัวเขาได้ทราบถึงประวัติของท่านและข้อมูลการสร้างวัตถุมงคลของท่านที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาและเป็นข้อมูลให้คนที่สนใจได้ศึกษาเพราะหลวงพ่ออิ่มท่านเป็นพระที่มีอภิญญาแก่กล้าและเป็นที่เคารพต่อคนในพื้นที่และผู้คนที่รู้จักต่างเสื่อมใสและศรัทธาในวัตรปฏิบัติของท่านทำนุบำรุงวัดให้เจริญและมีชื่อเสียงในปัจจุบัน ชื่อของท่านก็ไม่เสื่อมคลาย
ในการจัดทำประวัติหลวงพ่ออิ่มถ้ามีข้อมูลใดตรงหล่นไปบ้างก็ต้องขออภัยไว้ ณ. ที่นี้ด้วยครับ







      ทศ เดิมบาง
        ชมรมพระเครื่องอำเภอเดิมบางนางบวช